บทที่ 9
เธอหยิบแป้งหมี่ขาวมากำหนึ่ง นวดให้เข้ากัน แล้วพึ่งจะพบว่าในบ้านไม่มีไม้นวดแป้ง ซือลั่วยิ้มอย่างขมขื่น โชคดีที่แป้งที่นวดแข็งพอที่จะทำบะหมี่เตาเซียว*ได้... (คำอธิบาย 刀削面 เป็นบะหมี่ชนิดหนึ่งของจีน โดยวิธีทำเส้นคือการนวดแป้งเป็นก้อนให้มีความแข็ง จากนั้นจึงใช้มีดปาดก้อนแป้งให้เป็นเส้นบะหมี่)
เว่ยฉงซีนั่งอยู่บนเก้าอี้ จึงสามารถมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของซือลั่วที่ยุ่งอยู่ในครัว
ดวงตาของเขายิ่งมืดมนลงไปอีก
เขาไม่เชื่อว่าคนผู้หนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ซือลั่วตกลงไปในน้ำตอนเช้า เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านางหมดลมหายใจแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะฟื้นขึ้นมาอีก และยังดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน...
หรือไม่ซือลั่วก็มีแผนการร้ายอะไรแล้วคิดวางแผนบางอย่างเพื่อที่จะเอาคืนตนเอง แต่ว่าตัวเขาเองก็เป็นเช่นนี้แล้ว นางจะยังสามารถแก้แค้นอะไรได้อีก
ยังความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือเดิมทีคนผู้นี้กลายเป็นคนผู้อื่นมาตั้งนานมาแล้ว
เมื่อเว่ยฉงซีคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ก็ยังรู้สึกตกใจจนส่ายหัว เขาเพิ่งจะเห็นว่าไฝที่แขนของซือลั่วยังคงอยู่ ดังนั้นนางก็คือซือลั่ว...
แต่ทว่ายังมีความเป็นไปได้อื่นอีกไหม
ต่อให้คนผู้หนึ่งจะเสแสร้งแค่ไหนก็ไม่สามารถเปลี่ยนแม้กระทั่งพฤติกรรมและท่าทางได้
เว้นแต่ว่าจะเป็นการคืนชีพจากศพ
เว่ยฉงซีไม่ค่อยเชื่อเรื่องวิญญาณหรือพลังงานลี้ลับ ดังนั้นเขาจึงเพียงแค่นึกถึงมันแล้วโยนความคิดนั้นทิ้งไป เขายังคงรู้สึกว่าซือลั่วมีแผนการร้ายบางอย่าง บางทีอาจเป็นผู้ที่ทำร้ายเขาเหล่านั้นที่คิดจะทำอะไรบางอย่าง
ซือลั่วฮัมเพลง ต้มบะหมี่ ทั้งยังทำอาหารจานเย็นอีกสองอย่าง จานหนึ่งคือแตงกวา อีกจานหนึ่งคือยำปวยเล้ง นางกลืนน้ำลาย รอคอยที่จะได้กินอาหารมื้อใหญ่ โดยที่ไม่คาดคิดเลยว่าเว่ยฉงซีที่อยู่นอกประตูเกือบจะค้นพบความลับของนางเสียแล้ว
ดวงอาทิตย์จวนจะลับขอบฟ้า ภายในสวนอากาศไม่เย็นไม่ร้อนกำลังดี ซือลั่วจึงย้ายโต๊ะพังๆ ตัวนั้นที่อยู่ในห้องออกมา นำบะหมี่และกับข้าวมาวางไว้บนโต๊ะ ทั้งยังดันเว่ยฉงซีมาที่ข้างโต๊ะด้วยความยากลำบาก นางหิวจนเห็นดาวอยู่ตรงหน้าแล้ว
“กินเองได้ไหม” ซือลั่วดันชามให้เว่ยฉงซี
เว่ยฉงซีพยักหน้าแต่กลับไม่ได้พูดจาเสียดสีประชดประชัน
ซือลั่วหยิบตะเกียบขึ้นมาก็กินเลย นางไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร มีแค่ขยับนิ้วด้วยความว่องไว
เว่ยฉงซีเป็นคนถนัดซ้าย ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาในการกินข้าวด้วยมือซ้าย
หลังจากกินไปคำแรก ความรู้สึกแรกคืออร่อย บะหมี่เหนียวนุ่ม น้ำซุปบะหมี่มีรสชาติอ่อนๆ เมื่อกินคู่กับเครื่องเคียงแล้วเกิดความรู้สึกที่ทั้งธรรมดาสามัญทั้งอร่อยอย่างมาก
เว่ยฉงซีถือตะเกียบ เขาไม่ได้กินอาหารแบบนี้มานานมากแล้ว
สามปีก่อนเขาตกจากสวรรค์ลงสู่นรก เฝ้ามองบิดามารดาตายอย่างอนาจแต่กลับไม่สามารถเก็บศพให้พวกท่านได้ ตนเองขาหักทั้งสองข้าง ผู้คนเหล่านั้นที่เคยเยินยอเขาในอดีตล้วนเมินเฉยไม่แยแส ไม่ว่าจะตกบ่อน้ำหรือถูกปาหินใส่* (落井下石 สำนวนจีน อุปมาถึงการถูกคนคอยซ้ำเติม) เว่ยฉงซีทนกับความทุกข์ทรมานในโลกนี้ได้โดยไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่ตอนนี้บะหมี่ในชามที่เขากำลังกินอยู่ กลับทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ
ซือลั่วกินหมดไปแล้วหนึ่งชาม แล้วเห็นว่าเว่ยฉงซีเอาแต่ถือตะเกียบไม่ขยับมือเสียที นางจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย "ไม่ถูกปากงั้นหรือ หรือว่าเจ้าไม่ชอบกินบะหมี่"
"ไม่ใช่!"
หลังจากที่เว่ยฉงซีพูดจบเขาก็เริ่มกินอย่างตะกละตะกลาม ครู่เดียวก็กินบะหมี่ลงท้องไปแล้วหนึ่งชาม แล้วเขาก็ดันชามไปด้านหน้า
ซือลั่วรู้สึกขบขัน จึงตักให้เขาอีกชาม
ทั้งสองต่างไม่สนใจว่ากิริยามารยาทบนโต๊ะอาหารของใครดูไม่ได้ ครู่เดียวพวกเขาก็กินบะหมี่ชามใหญ่รวมทั้งผักยำที่อยู่ตรงหน้าจนเรียบวุธ
ซือลั่วลูบท้องตนเอง รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก เป็นจริงดังคาดว่าไม่มีปัญหาอะไรที่การกินอิ่มหนำสำราญจะแก้ไขไม่ได้
จิตใจของเว่ยฉงซีก็ไม่ได้รู้สึกอัดอั้นเช่นแต่ก่อนแล้ว
ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ซือลั่วก็ลุกขึ้นเก็บจานชาม ในเตายังมีไฟอยู่ เลยเติมน้ำในหม้อเพื่อเตรียมอาบน้ำไว้แล้ว หลังจากตกน้ำในตอนเช้านางยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า แม้ตอนนี้เสื้อจะแห้งไปนานแล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่ดี อีกทั้งเมื่อซือลั่วมองไปยังเว่ยฉงซีเขาก็ดูสกปรกจนดูไม่ได้แล้วเช่นกัน
ตอนที่รอน้ำเดือด นางก็นั่งอยู่ในสวนเพื่อจัดแจงสิ่งของที่ซื้อกลับมาในวันนี้ มีถ้วยชาสี่ใบ รูปลักษณ์ไม่เลวแต่แค่ดูจำเจไปเสียหน่อย
ซือลั่วยื่นให้เว่ยฉงซีใบหนึ่ง "นี่ให้เจ้า"
เว่ยฉงซีลังเลเล็กน้อยแล้วจึงรับมันไป มองดูถ้วยชาไม้ไผ่เรียบง่าย ในมือแล้วหลุบตาลง
